การแข่งขันหมากล้อมที่น่าทึ่ง เมื่อสุดยอดแชมป์เจอกับดาวรุ่งพุ่งแรงคนใหม่
ในฐานะอาจารย์และลูกศิษย์ตัวเองที่ปั้นมากับมือ
ภายใต้การยึดหลักการที่ว่า ไม่ว่าคู่แข่งขันจะเป็นใคร ถ้าคิดจะเป็นโปรก็มีหน้าที่ต้อง ‘เอาชนะ’
The Match เป็นหนังที่อิงเรื่องจริงของการแข่งขันหมากล้อม หรือเกมโกะ หรือที่เรียกว่าพาดุกในภาษาเกาหลี ของสองนักเล่นชั้นนำของประเทศ ก็คืออาจารย์โจฮุนฮยอนกับอีชางโฮลูกศิษย์ของเขาเอง ในยุคทศวรรษปี 1990 โดยหนังจะเล่าเรื่องราวย้อนไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นในยุคทศวรรษปี 1980 ที่โจฮุนฮยอน (รับบทโดย อีบยองฮอน) เพิ่งได้ตำแหน่งแชมป์โลก เป็นชาวเกาหลีคนแรก จึงกำลังเนื้อหอมกลายเป็นฮีโร่ของชาติ เขาได้เจอกับเด็กชายอีชางโฮ (รับบทโดย คิมคังฮุน) ที่รักในการเล่นโกะเป็นชีวิตจิตใจ และมีพรสวรรค์เห็นได้ชัด แชมป์โจจึงรับอีชางโฮมาป็นลูกศิษย์ของเขา โดยให้ย้ายมากินนอนอยู่ฝึกฝนที่บ้านเขาเลย โดย ภรรยา (รับบทโดย มุนจองฮี) ก็ให้ความเอ็นดูอีชางโฮมิใช่น้อย
อีชางโฮ (รับบทโดย ยูอาอิน) เติบโตขึ้นมาประหนึ่งสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนี้ เขาได้เรียนรู้จากอาจารย์มากมาย แต่เขาก็มีสไตล์การเล่นเฉพาะตัวที่บางครั้งก็เห็นต่างกับอาจารย์ของเขาบ้าง เส้นทางชีวิตเป็นนักหมากล้อมของเขาไต่เต้าฝีมือขึ้นมาเรื่อยๆถึงระดับ 6 ดั้งแล้ว และแล้วในการแข่งขันครั้งสำคัญหนึ่ง โจฮุนฮยอน 9 ดั้ง และอีชางโฮ 6 ดั้ง ต่างชนะคู่แข่งขันกันมาเรื่อยจนได้จับคู่ชิงชัยสุดท้ายกันเอง เกมประชันฝีมือระหว่างอาจารย์กับศิษย์เอกจึงเป็นที่ฮิอฮาอย่างมากในวงการทั่วทั้งประเทศ
ผลของการแข่งขันครั้งนี้ (ทิ้งไว้ให้ไปชมกันเอง) สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับชีวิตพวกเขาทั้งคู่ ซึ่งจะกลายเป็นเนื้อหาส่วนสำคัญที่น่าติดตามดูกันต่อว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร จะถูกคลี่คลายอย่างไร ที่จะนำให้ปลายทางชีวิตจริงของทั้งคู่ยังคงเวียนว่ายอยู่ในอาชีพนักแข่งหมากล้อมผู้เลื่องชื่อของเกาหลีอยู่
อันดับแรกเลยที่อยากจะบอกก็คือ ไม่ต้องกังวลนะคะว่า เล่นหมากล้อมไม่เป็นแล้วจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะการเล่าเรื่องไม่ได้เน้นที่ลีลาเชิงเทคนิคของเกมมากนัก พอจะมองที่ผลลัพธ์ภาพรวม เข้าใจตามได้ไม่ยาก อีกทั้งสาระสำคัญคือการติดตามดูความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์ที่ค่อยๆพัฒนาเติบโต จนถึงวันที่ศิษย์สามารถก้าวขึ้นมาวัดรอยเท้าครูได้ และมีวิถีการเล่นเฉพาะตัวที่เป็นคู่แข่งชนิดที่อาจารย์ยังประมาทไม่ได้เลย แน่นอนว่าเกมจะต้องจบลงด้วยหนึ่งผู้ชนะหนึ่งผู้แพ้ ผู้ที่พ่ายแพ้จะก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้อย่างไร แต่ทว่าผู้ที่ชนะเองก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวดเสียเลย!
คำกล่าวที่ว่า หมากล้อมก็เป็นการต่อสู้กับตัวเอง คือปรัชญาชีวิตที่ดี ให้ตรวจทานเกมของตน จิตของตน รู้จุดอ่อนที่แก้ไขได้ถูกทาง แพ้วันนี้ใช่ว่าจะแพ้ตลอดไป ชนะวันนี้ก็ใช่ว่าจะชนะตลอดกาล เพราะเกมจบไปเป็นกระดานๆ การหาจุดยืนทางใจในการต่อสู้เพื่อเป็นโปร ของโจฮุนฮยอน คือ ‘ปล่อยใจทำให้โล่ง’ ในขณะที่ ของอีชางโฮ คือ ‘อุทิศจิตใจที่ทุ่มเท’ คือเส้นทางนักหมากล้อมที่ทั้งคู่ได้ร่วมเดินทางเป็นโปรไปด้วยกัน
นอกเหนือจากงานโปรดัคชั่นที่เก็บรายละเอียดความย้อนยุคได้ดีน่าดูแล้ว ความสนุกอิ่มจากการได้ดูสองนักแสดงหลักประชันกันอย่างชวนยกนิ้วเลย ทั้งอีบยองฮอนและยูอาอินคือแคสที่สมบูรณ์แบบ ฝีมือของการ ‘เล่นน้อยได้มาก’ ในระดับเทพของพวกเขาช่างเข้ากับบทนักครุ่นคิด ผู้เก็บงำความรู้สึกแบกความเจ็บปวด และที่น่าเอ็นดูอีกอย่างก็คือ การจับคู่คิมคังฮุนกับยูอาอิน หน้าตาเข้ากันไม่พอ ยังเล่นเป็นอีชางโฮคนเดียวกันได้เนียนมากอีก
(จะมีแอบเสียดายพอควรก็ตรงที่ไม่มีโอกาสได้เห็นภาพยูอาอินขึ้นชิ้นงานโปรโมตใดๆ ความหงอยก็คงเปรียบเสมือนการเห็นกระดานหมากล้อมเพียงครึ่งเดียวแหละมั้ง! ยิ่งไปกว่านั้น ดูจบแล้วก็ยังโหยหางานแสดงของยูอาอินเหลือเกินอยู่ดี)
สำหรับนักแสดงสมทบที่มาแจมกันด้วยบทไม่มากนัก แต่ก็ช่วยกันเติมเต็มเรื่องราว ได้แก่ โกชางซอก ฮยอนบงชิก จองซอกยง นัมมุนชอล จอนมูซง จูจินโม และโจอูจิน
รับชม The Match ซับไทยถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix
Trailer :